ทุนสถาบัน
สถาบันครอบครัว
ครอบครัวเป็นสถาบันสังคมที่สําคัญที่สุด
เป็นหน่วยของสังคมที่มีความสัมพันธ์และความร่วมมือใกล้ชิด
เป็นสถาบันที่มีความคงทนที่สุด
และยังไม่เคยปรากฏว่าสังคมมนุษย์ใดไม่มีสถาบันครอบครัวปรากฏอยู่
เพราะมนุษย์ทุกคนจะต้องอยู ในสถาบันนี้ เนื่องจากเป็นสังคมกลุ่มแรกที่เราจะต้องเผชิญตั้งแต่แรกเกิดเติบโตในครอบครัว
ครอบครัวจะให้ตําแหน่ง ชื่อและสกุล ซึ่งเป็นเครื่องบอกสถานภาพ
และบทบาทในสังคมที่เรามีส่วนร่วมด้วย
ตลอดจนกําหนดสิทธิและหน้าที่ที่สมาชิกมีต่อกันและต่อสังคม ซึ่งสถาบันครอบครัวมีหน้าที่ดังต่อไปนี้
1.
สร้างสมาชิกใหม่ให้แก่สังคม ด้วยการให้กําเนิดบุตร
ทําให้สังคมสามารถดํารงอยู่และสืบต่อไปได้อย่างมั่นคงถาวร
2.
ควบคุมพฤติกรรมทางเพศของบุคคลในสังคมให้เหมาะสม ในรูปของการสมรส
ซึ่งคู่สมรสต้องปฏิบัติตนตามสถานภาพและบทบาทของแต่ละฝ่าย คือ สามี – ภรรยาตามที่สังคมกําหนด
ทําให้ปัญหาทางเพศในสังคมลดลง
3.
เลี้ยงดูสมาชิกใหม่ของสังคม คือ
บุตรของตนให้พ้นจากภัยอันตรายต่างๆและเจริญเติบโตอย่างงมีคุณภาพ
เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
4.
การให้ความรัก ความอบอุ่น ความหวังและกําลังใจให้แก่สมาชิก
ทําให้สมาชิกมีขวัญกําลังใจ และมีความมั่นคงทางจิตใจ
ดํารงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข
5.
การขัดเกลาทางสังคม โดยการอบรมสั่งสอนให้บุตรปฏิบัติตามบรรทัดฐานทางสังคม
ปลูกฝังคุณลักษณะนิสัยให้เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
สถาบันศาสนา
สถาบันศาสนา
หมายถึง แบบแผนของความคิดการกระทำในเรื่องเกี่ยวกับ จิตใจ ความเชื่อทางสังคม
ทางศาสนา และเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ประกอบด้วย 3 ประการ คือ ความเชื่อ
การแสดงออก ความรู้สึกทางอารมณ์ และหน้าที่ของสถาบันทางศาสนานั้น
มีทั้งสนองความต้องการเฉพาะบุคคลและต่อสังคม หน้าที่ของศาสนาที่มีต่อเฉพาะบุคคล เน้นที่ให้ความมั่นคงในชีวิตและมีความหมายเกี่ยวกับสิ่งต่อไปนี้
1.
เป็นปัจจัยช่วยให้เกิดความสงบทางจิตใจและนำไปสู่สุขภาพจิตที่ดี
อันจะมีผลต่อสุขภาพร่างกายด้วย
2.
ให้ความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยจากความกลัวและปลอดจากความวิตกกังวล
3.
ให้พลังใจ เพราะเชื่อว่า มีสิ่งที่จะให้ความช่วยเหลือเป็นปัจจัยเสริมให้เกิดกิจกรรมทั้งปวง
ทำให้มีโอกาสเอาชนะความลำบาก อุปสรรคต่าง ๆ ได้
4.
เป็นปัจจัยช่วยให้คนจัดระเบียบชีวิตและมีโอกาสประสบความสำเร็จและความสุขสูงสุดได้
สถาบันการศึกษา
สถาบันการศึกษา หมายถึง สถาบันสังคมซึ่งเกี่ยวข้องกับแบบแผนการขัดเกลาและการถ่ายทอดวัฒนธรรม
การให้ความรู้ และฝึกทักษะอาชีพ เพื่อการเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
ซึ่งมีหน้าที่ดังต่อไปนี้
1. อบรมให้เรียนรู้ระเบียบแบบแผนของสังคม
สอนให้สมาชิกในสังคมได้พัฒนาบุคลิกภาพ มีกิริยามรรยาท มีจริยธรรม คุณธรรม
เคารพในสิทธิของผู้อื่น ปฏิบัติตามหน้าที่ของตน
2.
อบรมให้สมาชิกได้เรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพ เพื่อการดำรงชีวิตเพื่อเพิ่ม
ผลผลิตในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การบริการ
นอกจากสอนให้ผู้คนได้เรียนรู้ในการประกอบอาชีพแล้ว สถาบันการศึกษายังมีหน้าที่ในการพัฒนาอาชีพ
ริเริ่มสร้างสรรค์อาชีพ เพื่อผลผลิตใหม่ที่จะสนองความต้องการของสังคม
3.
จัดสรรตำแหน่งและกำหนดหน้าที่การงานให้แก่บุคคล เพื่อบุคคลได้เรียนรู้ในอาชีพใด
มีความสามารถในทางใด ก็จะไปทำงานในอาชีพนั้น
4.
ช่วยให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ในสังคม เมื่อการศึกษาเจริญก้าวหน้าขึ้น
ก่อให้เกิดความรู้ แนวคิด เทคนิคใหม่ ๆ การค้นพบต่าง ๆ
ทำให้เกิดการประดิษฐ์สิ่งของอุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ
และมีการพัฒนาสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
5.
ช่วยให้สังคมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผลจากการศึกษาอบรมให้เรียนรู้ระเบียบแบบแผน
วัฒนธรรมเดียวกัน ยิ่งถ้ามีการใช้ภาษาเดียวกันในการติดต่อสื่อสาร
จะทำให้เกิดความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน มีความผูกพันกันดีขึ้น
สถาบันเศรษฐกิจ
สถาบันเศรษฐกิจเป็นสถาบันที่ทำหน้าที่ช่วยสนองความต้องการของบุคคลในสังคมทั้งในด้านสิ่งบริโภคและอุปโภค
ในสังคมที่แตกต่างกัน ย่อมมีระเบียบแบบแผนในการผลิต
การจำหน่ายการบริโภคอุปโภคที่แตกต่างกัน ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ต่อสังคม เช่น
สังคมที่มีประชากรมากและมีทรัพยากรจำกัด
อาจต้องใช้วิธีการแบ่งปันทรัพยากรกันกินและใช้
ซึ่งมีหน้าที่ดังต่อไปนี้
1.
ผลิตสินค้าละบริการต่างๆแก่สมาชิกในสังคม
2.
สร้างงานและสร้างรายได้ให้กับสมาชิกในสังคม
ทุนวัฒนธรรม
ชาวบ้านหนองคูรักษาประเพณีวัฒนธรรมตามฮีตสิบสองคลองสิบสี่
ฮีตสิบสองมาจากคำ 2 คำ คือ ฮีต กับ
สิบสอง ฮีตมาจากคำว่า จารีต หมายถึงสิ่งที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาจนกลายเป็นประเพณีที่ดีงาม
ชาวอีสาน เรียกว่า จาฮีต หรือฮีต สิบสองในหนึ่งปี
คองสิบสี่
หมายถึง ครองธรรม 14 อย่าง เป็นกรอบหรือแนวทางที่ใช้ปฏิบัติระหว่างกันของผู้ปกครองกับผู้ใต้ปกครองพระสงฆ์และระหว่างบุคคลทั่วไป
เพื่อความสงบสุขร่มเย็นของบ้านเมือง
วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอีสานที่ดำรงชีพอยู่ในสังคมเกษตรกรรม
ตามสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่แห้งแล้งกันดารนั้น
ในความเชื่อต่อการดำเนินชีวิตที่มีความผาสุกและเจริญรุ่งเรืองเกิดขึ้นแก่ครอบครัวและบ้านเมืองก็ต้องมีการประกอบพิธีกรรม
มีการเซ่นสรวงบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย และร่วม ทำบุญตามประเพณีทางพุทธศาสนาด้วยทุกๆเดือนในรอบปีนั้นมีการจัดงานบุญพื้นบ้านประเพณีพื้นเมืองกันเป็นประจำ
จึงได้ถือเป็นประเพณี 12 เดือนเรียกกันว่า ฮีตสิบสอง
ถือกันว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาถึงปัจจุบัน
คติความเชื่อในวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่เกี่ยวพันกับการเกษตรกรรม
เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจต่อการดำรงชีวิต ชาวอีสานจึงมีงานบุญพื้นบ้านมากมายจนได้ชื่อว่าเป็นภูมิภาคที่มีงานประเพณีพื้นบ้านมากที่สุดในประเทศ ฮีตสิบสองเดือนหรือประเพณีสิบสองเดือนนั้น ชาวอีสานร่วมกันประกอบพิธีนับแต่ต้นปี
คือ
เดือนอ้าย หรือเดือนเจียง งานบุญเข้ากรรม
มีงานบุญดอกผ้า (นำผ้าห่มหนาวไปถวายสงฆ์) ประเพณี เส็งกลอง
ทำลานตี(ลานนวดข้าว)ทำปลาแดก (ทำปลาร้าไว้เป็นอาหาร) เกี่ยวข้าวในนา เล่นว่าว
ชักว่าวสนู นิมนต์พระสงฆ์เข้าประวาสกรรม
ตามประเพณีนั้นมีการทำบุญทางศาสนา
เพื่ออนิสงฆ์ทดแทนบุญคุณต่อบรรพบุรุษ ชาวบ้านเลี้ยงผีแถน ผีบรรพบุรุษ
มีการตระเตรียมเก็บสะสมข้าวปลาอาหารไว้กินในยามแล้ง
เดือนยี่ งานบุญคูนลาน ทำบุญที่วัด
พระสงฆ์เทศน์เรื่องแม่โพสพ ทำพิธีปลงข้าวในลอมและฟาดข้าวในลาน
ขนข้าวเหลือกขึ้นเล้า (ยุ้งฉาง)
นับเป็นความเชื่อในการบำรุงขวัญและสิริมงคลทางเกษตรกรรม
มีทั้งทำบุญที่วัดและบางครั้งทกบุญที่ลานนวดข้าว
เมื่อขนข้าวใส่ยุ้งแล้วมักไปทำบุญที่วัด
เดือนสาม บุญข้าวจี่ มีพิธีเลี้ยงลาตาแฮก
(พระภูมินา) เพราะขนข้าวขึ้นยุ้งแล้ว งานเอิ้นขวัญข้าวหรือกู่ขวัญข้าว
เพ็ญเดือนสามทำบุญข้าวจี่ตอนเย็นทำมาฆบูชา ลงเข็นฝ้ายหาหลัวฟืน
(ไม้เชื้อเพลิงลำไม้ไผ่ตายหลัว กิ่งไม้แห้ง-ฟืน)
ตามประเพณีหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวใส่ยุ้งแล้ว
มีการทำบุญเซ่นสรวงบูชาเจ้าที่นา ซึ่งชาวอีสานเรียกว่าตาแฮก
และทำบุญแผ่ส่วนกุศลให้ผีปู่ย่าตายาย อันเป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ
โดยการทำข้าวจี่(ข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อนสอดไส้น้ำตาลหรือน้ำอ้อยชุบไข่ปิ้งจนเหลือง)
นำไปถวายพระพร้อมอาหารคาวหวานอื่นๆ
เดือนสี่ บุญพระเวส (อ่านออกเสียงพระ-เหวด)
มีงานบุญพระเวส (ฟังเทศน์มหาชาติ) แห่พระอุปคุตตั้งศาลเพียงตา ทำบุญแจกข้าวอุทิศให้ผู้ตาย
(บุญเปตพลี) ประเพณีเทศน์มหาชาติเหมือนกับประเพณีภาคอื่นๆ ด้วย
เป็นงานบุญทางพุทธศาสนาที่ถือปฏิบัติทำบุญถวายภัตตาหารแล้วตอนบ่ายฟังเทศน์
เรื่องเวสสันดรชาดก ตามประเพณีวัดติดต่อกัน 2-3
วันแล้วแต่กำหนดในช่วงที่จัดงานมีการแห่พระอุปคุตเพื่อขอให้บันดาลให้ฝนตกด้วย
เดือนห้า บุญสรงน้ำ หรือเทศกาลสงกรานต์
ชาวอีสานเรียกกันว่า สังขานต์
ตามประเพณีจัดงานสงกรานต์นั้น
บางแห่งจัดกัน 3 วัน บางแห่ง 7 วัน แล้วแต่กำหนดมีการทำบุญถวายภัตตาหารคาวหวาน
หรือถวายจังหันเช้า-เพลตลอดเทศกาล ตอนบ่ายมีสรงน้ำพระ รดน้ำผู้ใหญ่ผู้เฒ่าก่อเจดีย์ทราย
เดือนหก บุญบั้งไฟ บางแห่งเรียก
บุญวิสาขบูชา มีงานบุญบั้งไฟ (บุญขอฝน) บุญวิสาขบูชา วันเพ็ญเดือนหก
เกือบตลอดเดือนหกนี้
ชาวอีสานจัดงานบุญบั้งไฟ
จัดวันใดแล้วแต่คณะกรรมการหมู่บ้านกำหนดถือเป็นการทำบุญบูชาแถน (เทวดา)
เพื่อขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลและความอุดมสมบูรณ์ของข้าวปลาอาหารในปีต่อไปครั้นวันเพ็ญหก
เป็นงานบุญวิสาขบูชาประเพณีสำคัญทางพุทธศาสนา
มีการทำบุญฟังเทศน์และเวียนเทียนเพื่อผลแห่งอานิสงส์ในภพหน้า
เดือนเจ็ด บุญชำฮะ มีพิธีเลี้ยงตาแฮก ปู่ตา
หลักเมือง งานบุญเบิกบ้านเบิกเมือง งานเข้านาคเพื่อบวชนาค
คติความเชื่อหลังจากหว่านข้าวกล้าดำนาเสร็จ
มีการทำพิธีเซ่นสรวงเจ้าที่นา เพื่อความเป็นสิริมงคลให้ข้าวกล้าในนางงอกงาม
บ้านที่กุลบุตรมีงานอุปสบททดแทนบุญคุณบิดามารดาและเตรียมเข้ากรรมในพรรษา
เดือนแปด งานบุญเข้าพรรษา
มีพิธีหล่อเทียนพรรษางานบุญเทศกาลเข้าพรรษา
แต่ละหมู่บ้านช่วยกันหล่อเทียนพรรษา
ประดับให้สวยงาม จัดขบวนแห่เพื่อนนำไปถวายเป็นพุทธบูชา มีการทำบุญถวายภัตตหาร
เครื่องไทยทานและผ้าอาบน้ำฝน เพื่อพระสงฆ์จะได้นำไปใช้ตลอดเทศกาลเข้าพรรษา
เดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน จัดงานวันแรม 14
ค่ำ เดือน 9 นับแต่เช้ามืด ชาวบ้านจัดอาหารคาวหวาน หมากพลูบุหรี่ใส่กระทงเล็กๆ
นำไปวางไว้ตามลานบ้าน ใต้ต้นไม้ ข้างพระอุโบสถ
เพื่อเป็นการให้ทานแก่เปรตหรือวิญญาณที่ตกทุกข์ได้ยากตอนสายมีการทำบุญที่วัด
ฟังเทศน์เป็นอานิสงส์
เดือนสิบ บุญข้าวสาก
ข้าวสากหมายถึงการกวนกระยาสารท คล้ายงานบุญสลากภัตในภาคกลาง จัดงานวันเพ็ญเดือน 10
นำสำรับคาวหวานพร้อมกับข้าวสาก(กระยาสารท)
ไปทำบุญที่วัดถวายผ้าอาบน้ำฝนและเครื่องไทยทาน แต่ก่อนที่จะถวายนั้นจะทำสลากติดไว้
พระสงฆ์องค์ใดจับสลากใดได้ก็รับถวายจากเจ้าของสำรับนั้น ตอนบ่ายฟังเทศน์เป็นอานิสงส์
เดือนสิบเอ็ด บุญออกพรรษา
มีพิธีถวายผ้าห่มหนาวในวันเพ็ญ มีงานบุญตักบาตรเทโว พิธีกวนข้าวทิพย์
พิธีลอยเรือไฟ
นับเป็นช่วงที่จัดงานใหญ่กันเกือบตลอดเดือน
นับแต่วันเพ็ญ มีการถวายผ้าห่มหนาวแต่พระพุทธพระสงฆ์ วันแรม 1 ค่ำ
งานบุญตักบาตรเทโว ตอนเย็นวันขึ้น 14 ค่ำ มีพิธีกวนข้าวทิพย์ มีงานช่วงเฮือ
(แข่งเรือ) ในวันเพ็ญมีงานแห่ปราสาทผึ้ง พิธีลอย เฮือไฟ (ไหลเรือไฟ) เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
มีทั้งงานบุญกุศลและสนุกสนานรื่นเริง
เดือนสิบสอง บุญกฐิน
ทำบุญข้าวเม่าพิธีถวายกฐินเมื่อถึงวันเพ็ญจัดทำข้าวเม่า(ข้าวใหม่)นำไปถวายพระ
พร้อมสำรับคาวหวานขึ้นตอนบ่ายฟ้งเทศน์เป็นอานิสงส์จัด พิธีทอดกฐินตามวัดที่ จองกฐินไว้
งานบุญในฮีตสิบสองนั้น ตามหมู่ที่เคร่งประเพณียังคงจัดกันอย่างครบถ้วน
คลองสิบสี่
คลองสิบสี่
หมายถึง ครองธรรม 14 อย่าง เป็นกรอบหรือแนวทางที่ใช้ปฏิบัติระหว่างกัน
ของผู้ปกครองกับผู้ใต้ปกครอง พระสงฆ์ และระหว่างบุคคลทั่วไป
เพื่อความสงบสุขร่มเย็นของ บ้านเมือง คลองสิบสี่มีหลายแบบหลายประเภท พอจะยกตัวอย่างได้ดังนี้
คองสิบสี่แบบที่
1 - กล่าวถึงผู้เกี่ยวข้องกับครอบครัวในสังคมตลอดจนผู้มี่หน้าที่ปกครองบ้านเมือง
คองสิบสี่แบบที่
2 - กล่าวถึงหลักการที่พระมหากษัตริย์ทรงปฏิบัติในการปกคลองบ้านเมือง และข้อ ที่ประชาชนควรปฏิบัติต่อพระมหากษัตริย์
และจารีตประเพณีที่พึงปฏิบัติให้บ้านเมืองสงบสุข
คองสิบสี่แบบที่
3 - กล่าวถึงธรรมที่พระราชาพึงยึดถือปฏิบัติ และเน้นหนักให้ประชาชนปฏิบัติตาม จารีตประเพณี
และข้อที่คนในครอบครัวพึงปฏิบัติต่อกัน
คองสิบสี่แบบที่
4 - กล่าวถึงไปแนวทางฮีตบ้านคลองเมือง คือการดำเนินการปกครองบ้านเมืองเพื่อ
ให้บ้านเมืองอยู่เป็นสุขและปฏิบัติตามประเพณี
คองสิบสี่สำหรับพระสงฆ์
คองสิบสี่สำหรับนักปกครอง
คองสิบสี่สำหรับประชาชน
คลอง
(ครรลอง) คือแบบแผนหรือแนวทางดำเนินชีวิตคล้ายๆ กับคำฝรั่งหนึ่งว่า "Way
of life" แต่คลองในที่นี้มุ่งไปทางศีลธรรมประเพณีที่ถูกผิดมากกว่าด้านอาชีพ
เห็นจะตรงกับภาคกลางว่า ทำนองคลองธรรม นั่นเอง
แต่ชาวอีสานออกเสียงคลองเป็นคองไม่มีกล้ำ เช่นว่าถ้าทำไม่ถูกผู้ใหญ่ท่านจะเตือนว่า
"เฮ็ดบ่แม่นคอง" หรือว่า "เฮ็ดให้ถือฮีตถือคอง"
เป็นต้นฉบับของท่านเจ้าพระอริยานุวัตร มีคำฮีตนำหน้าด้วย คือ
ฮีตเจ้าคลองขุน
คือแบบแผน
คำสอน ที่ผู้ปกครองระดับสูงพึงนำไปปฏิบัติ เพื่อให้ไพร่ฟ้าประชาชนมีความสุข
ปกครองด้วยความเท่าเทียมกันทุกคน มีความเสมอภาค
ฮีตท้างคลองเพีย
คือเหตุร้ายทั้งหลายที่เกิดขึ้นเป็นเพราะผู้ปกครองปล่อยปะละเลยห่างจากทศธรรม
ทำให้ประชาชนละเลยศีลธรรมปัญหาจึงเกิด
ฮีตไพร่คลองนาย
คือผู้ปกครองอย่าอวดอ้าง
อย่าลืมตัว เจ้านายจะดีคนเดียวไม่ได้ ได้ดีแล้วอย่าลืมตัว
เป็นใหญ่แล้วให้รักผู้น้อยและใครทำดี ได้ดีก็ให้เคารพ
ฮีตบ้านคลองเมือง
คือ
มุ่งให้ทุกคนรู้จักอีตสิบสองคลองสิบสี่เพื่อทุกคนได้ปฏิบัติต่อกันอย่างมีความ
สุขและผู้ปกครองต้องมีใจเป็นธรรมและกล้าหาญ
ฮีตผัวคลองเมีย
มุ่งให้สามีภรรยาปฏิบัติดีต่อกัน
ฮีตพ่อคลองเมีย
มุ่งสอนพ่อแม่ให้อบรมเลี้ยงดูลูกให้ถูกทาง
ฮีตลูกคลองหลาน
สอนลูกหลานให้ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณี
มีความยำเกรงต่อผู้ใหญ
ฮีตใภ้คลองเขย
มุ่งสอนลูกสะใภ้และลูกเขยให้ปฏิบัติต่อพ่อตาแม่ยายปู่ย่าตายายให้ถูกต้องตามคลองธรรม
ฮีตป้าคลองลุง
สอนให้ป้าลุงปฏิบัติต่อกันญาติพี่น้องให้ดี
ฮีตปู่คลองย่า
ฮีตตาคลองยาย
สอนให้ปู่ยาตายายปฏิบัติเป็นปูชนียบุคคลที่ดี
ฮีตเฒ่าคลองแก่
มุ่งสอนคนแก่ทั่วไป
ฮีตปีคลองเดือน
สอนชาวอีสานรักษาฮีตสิบสองคลองสิบสี่
ฮีตไฮ่คลองนา
มุ่งสอนให้ชาวนารู้จักรักษาดูแลไร่นา
ฮีตวัดคลองสงฆ์
มุ่งสอนให้ปฏิบัติ
วัตรฐาก ดูแลวัดวาอาราม บำรุงสงฆ์
สรุปฮีตสิบสองคลองสิบสี่
ฮีตสิบสอง
คือประเพณี 12 เดือนของชาวอีสานที่ต่างจากประเพณี 12 เดือนของภาคอื่นหลายประเพณี คลองสิบสี่
คือแนววิถีที่ควรที่ต้องปฏิบัติ 14 ประการ เปรียบได้ว่าเป็นกฎหมายที่ต้องทำ
ตามอย่างเข้มงวดซึ่งมีทั้งพิธีของเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ พระภิกษุสงฆ์และประชาชนทั่วไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น